เหรียญหลวงพ่อเกษม เขมโก มทบ.7 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ปี 2518 เนื้อนวะ
(องค์นี้รับประกันความสวย ด้วยรางวัลประกวด 2 รางวัล)
มณฑลทหารบกที7 ได้เป็นผู้จัดสร้างขึ้น และนำออกให้บูชา เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2518 โดยมีหลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นผู้ปลุกเสกให้เมื่อ 29ธันวาคม 2517 แต่เหรียญรุ่น มทบ.7 นี้จัดสร้างให้เพื่อทหาร ได้ไว้ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ เพระเปิดจองกันในค่าย มทบ.7 อีกทั้งให้ทหารมีการจับจองกันโดยทั่วถึง เพราะชำระด้วยเงินผ่อน ดังนั้นทหารค่ายมทบ.7 จึงมีโอกาศมีเหรียญนี้กันเป็นส่วนมาก
มีจำนวนการสร้างทั้งสิ้นดังนี้
-เนื้อทองคำ 64 เหรียญ ,
-เนื้อเงิน 2,518 เหรียญ ,
-เนื้อนวะโลหะ 10,000 เหรียญ ,
-เนื้อทองแดง สร้างประมาณ 12,518
เหรียญรุ่นนี้เป็นรุ่นยอดนิยมของหลวงพ่อเกษม เขมโก ด้วยมากประสบการณ์ในการใช้บูชารุ่นหนึ่งในสายหลวงพ่อเกษม เขมโก…
หลวงพ่อเกษม เขมโก (นามเดิม เจ้าเกษม ณ ลำปาง) เป็นพระเถระและเกจิอาจารย์ ผู้เคร่งครัดในธุดงควัตร ปลีกวิเวก พุทธศาสนิกชนในจังหวัดลำปางและชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นพระเถราจารย์ปูชนียบุคคลรูปหนึ่งของประเทศไทย และมีผู้มีความเคารพศรัทธาเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน อีกทั้งท่านยังเป็นเจ้านายในราชวงศ์ทิพย์จักร ที่ออกผนวชอีกด้วย จากประวัติและศีลาจารวัตรที่งดงาม จึงทำให้เหรียญหลวงพ่อเกษม เขมโก ในรุ่นนี้ เป็นบล็อกนิยมที่ออกแบบได้สวยงามสมบูรณ์ มีความคม ชัด ลึก ทั้งด้านหน้าและหลังของเหรียญ และเป็นยอดปรารถนาของนักสะสมบูชาทั่วถิ่นไทย
หลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นโดยแท้จริง ท่านเป็นพระ มหานิกาย แต่ท่านปฏิบัติธุดงค์วัตรอย่างอุกฤษฏ์
ยากที่จะมีใครทำได้อย่างท่านในปัจจุบัน อันจริยาวัตรของท่านหลายอย่างยังคงเป็นคำกล่าวขวัญกันอยู่ อย่างเช่น
ท่านอาศัยอยู่ป่าช้าจนชั่วชีวิต นอนหลังไม่แตะพื้น นั่งหมอบหลับ ปกติหลวงพ่อเกษม ท่านจะพูดน้อย คือพูดค่อยๆ เชิงกระซิบ โดยท่านให้เหตุผลว่า
“ถ้าต้องพูดกับคนทุกคนแล้ว ท่านคงไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมแน่ๆ”
การขบฉันของท่าน ท่านก็ฉันแต่น้อย สองสามวันท่านจะฉันเพียงมื้อเดียวโดยท่านฉันรวม คือของคาวและของหวานเทรวมกัน
บางครั้งท่านยังฉันข้าวบูดอีก ท่านนั่งบริกรรมกลางแดดในฤดูร้อนที่ร้อนระอุได้นานทั้งวัน จนผิวหนังไหม้ ท่านนั่งบริกรรมท่ามกลางสายฝนในหน้าฝน
สายฝนกระหน่ำ และในยามที่อากาศหนาวสุดขั้วของภาคเหนือ ตลอด ๓ เดือนเต็ม (นั่งบริกรรมกลางแจ้งโดยไม่เข้าร่มเลย) ท่านจะนั่งสมาธิกลางแจ้งโดยไม่ห่มจีวร
ท่านเคยอดอาหารได้นานถึง 49 วัน อย่างนี้เป็นต้น
เคยมีผู้สอบถามหลวงพ่อถึงสาเหตุที่ท่านนั่งบริกรรมกลางแจ้ง ท่านก็ตอบว่า " เพื่อให้รู้เหตุของทุกข์ จะได้รู้จักการหลุดพ้นทุกข์ "
ซึ่งท่านเคยพูดอยู่เสมอๆ ว่า “การปฏิบัติอย่างนี้ ต้องแยกกายและจิตให้ออกจากกัน”
และที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือ ระยะเวลาใน ๑ ปี หลวงพ่อจะอาบน้ำเพียงครั้งเดียว และนับจากปี ๒๕๑๔ เป็นต้นมาท่านก็มิได้อาบน้ำอีกเลย
แต่ท่านกลับไม่มีกลิ่นตัว ไม่มีเหงื่อ แม้ว่าท่านจะออกนั่งภาวนาตากแดดก็ตามที เท่าที่ดูแล้วหลวงพ่อท่านกลับมีผิวพรรณผ่องใส
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า
“ถ้าบุคคลใด ปฏิบัติมาได้ขั้นนี้แล้ว จะเป็นผู้มีกำลังจิตที่แก่กล้ามาก อาการเช่นนี้ ถ้าจะมีใครยกเราหย่อนลงไปในน้ำก็สามารถอยู่ได้ ไม่มีอันตรายเลย
และไม่มีอะไรอีกด้วย ว่าเย็นหนาว และถ้าเขาจะจับศีรษะบิดจนรอบก็ไม่มีความรู้สึกอะไร จะนั่งอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
บุคคลเช่นนี้มีอำนาจจิตที่แก่กล้าแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ได้ทุกเมื่อเลยทีเดียว”
หลวงปู่ศรี มหาวีโร แห่งวัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด ท่านเคยเมตตาอธิบายว่า
“การเจริญสมาธิภาวนาแบบอุกฤษฏ์ทรมานตนนี้ เป็นการสร้าง “มหาสติ” อีกแบบหนึ่ง ผู้ทำสำเร็จจะมีพลังแก่กล้ามาก เป็นความจริงในเรื่องนี้”
หลวงพ่อเกษมกับหลวงปู่ดู่ วัดสะแก
หลวงพ่อเกษม ท่านไม่ได้เดินทางออกจากป่าช้าที่ลำปาง แต่ท่านสามารถไปปรากฏกายที่ วัดสะแก อยุธยา เพื่อสนทนาธรรมกับหลวงปู่ดู่ได้
เป็นเรื่องแปลกที่ท่านทั้งสองนั้น ไม่เคยเดินทางออกไปไหนเหมือนกัน แต่รู้จักกันได้ และหลวงพ่อเกษมเคยมา สนทนากับหลวงปู่ดู่ด้วยกายเนื้อ ที่วัดสะแกได้
นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ สำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆ ที่มิอาจเข้าใจในโลกของจิต ที่กว้างไกล แต่สำหรับพระที่สำเร็จทางจิตท่านสามารถ ติดต่อสื่อสารกันได้โดยง่าย และไปมาหาสู่กันได้
โดยเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับท่านเหล่านั้น หากเราอยากจะรู้และเข้าใจในเรื่องแบบนี้ ทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้ คือต้องพากเพียรฝึกจิตให้เข้าถึงในคุณธรรมที่จะสามารถ รับรู้เรื่องเหล่านี้ได้นั่นเอง
เทศนาปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก
หลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก สำนักปฏิบัติธรรมสุสานไตรลักษณ์ ประตูม้า จังหวัดลำปาง
การแสดงพระธรรมเทศนาของหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก ในวันวิสาขบูชา ปีพ.ศ. ๒๕๓๕ (๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๕) นับว่าเป็น เทศนาโดยแท้ โดยหลวงปู่เทศนาเป็นใจความว่า
“การสวดพระปริตร เช่น โมรปริตรนั้นได้ผลทางสะเดาะเคราะห์การช่วยชีวิต การแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทุกชนิด แต่ถ้าคนหรือสัตว์นั้น ถึงคราวชะตาขาด เพราะกรรมหนักมาส่งผลแล้ว พระปริตรก็ช่วยไม่ได้
“อานุภาพ” ของสิ่งต่างๆ อันเป็นของศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอยู่จริง ก็ช่วยใครต่อใคร ยกเว้นแต่ถึงคราว “ชะตาขาด” ก็ช่วยไม่ได้ ????
ถ้าใครพูดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยอะไรใครไม่ได้ เป็นของไม่มีจริง อย่างนี้ถือว่าพูดผิด เพราะยังไม่รู้จริง”
หลวงปู่เทศน์ว่า….
“ความศักดิ์สิทธิ์มีอยู่จริง ดุจดังพ่อและแม่รักลูก และป้องกันลูกน้อย มิให้มีภัยมาเบียดเบียน แต่เมื่อลูกโตขึ้นเป็นหนุ่ม ประพฤติพาลเกเร ปล้นสะดมฆ่าคนตาย และถูกจับประหารชีวิตอย่างนี้พ่อแม่ก็ช่วยไม่ได้”
เทศนาของหลวงปู่ครั้งนี้ดีแท้ ย่อมเป็นอุทาหรณ์เป็นอย่างดีแก่วงการพระเครื่องและเครื่องมงคลต่างๆ และได้คำตอบที่ชัดแจ้ง
ขอขอบพระคุณและโมทนาบุญอย่างสูงสำหรับข้อมูลจาก :
หลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก โลกลี้ลับ ๙๗ ปีที่ ๑๐ ประจำเดือนมกราคม ๒๕๓๖ : เจดีย์ทอง เรียบเรียง. หน้า ๒๘-๒๙